วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

หน่วยที่ 4 สิทธิยึดหน่วง

ตอนที่ 4.1 ความหมาย ลักษณะทั่วไป และการเกิดสิทธิยึดหน่วง

เรื่องที่ 4.1.1 ความหมาย และลักษณะทั่วไปของสิทธิยึดหน่วง

ปพพ. มาตรา 241
            ผู้ใด เป็นผู้ครอง ทรัพย์สิน ของผู้อื่น และ มีหนี้ อันเป็นคุณประโยชน์แก่ตน เกี่ยวด้วย ทรัพย์สิน ซึ่ง ครองนั้นไซร้ ท่านว่า ผู้นั้น จะยึดหน่วงทรัพย์สินนั้น ไว้จนกว่า จะได้ชำระหนี้ ก็ได้ แต่ความที่กล่าวนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ เมื่อ หนี้นั้น ยังไม่ถึงกำหนด
            อนึ่ง บทบัญญัติ ในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้า การที่เข้าครอบครองนั้น เริ่มมาแต่ การอันใดอันหนึ่ง ซึ่ง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

     สิทธิยึดหน่วงเป็นทรัพยสิทธิ คือเป็นสิทธิซึ่งมีอำนาจเหนือตัวทรัพย์ซึ่งเกิดขึ้นโดยอำนาจของกฎหมายเท่านั้น ไม่อาจตกลงโดยคู่กรณี และเมื่อเกิดสิทธิแล้วเจ้าหนี้ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงก็ใช้สิทธิยึดหน่วงทรัพย์ของผู้อื่นไว้ได้

     สิทธิยึดหน่วงเป็นทรัพยสิทธิประเภทอุปกรณ์สิทธิหรือสิทธิที่เป็นอุปกรณ์แห่งสิทธิของหนี้ประธาน เป็นการประกันการใช้หนี้เช่นเดียวกับ จำนอง จำนำ เมื่อหนี้ประธานระงับ อุปกรณ์สิทธิก็ระงับไปด้วย


เรื่องที่ 4.1.2 การเกิดสิทธิยึดหน่วง


1. หลักเกณฑ์การเกิดสิทธิยึดหน่วง มาตรา 241 ต้องมีองค์ประกอบครบ 4 ประการ

ปพพ. มาตรา 241
            ผู้ใด เป็นผู้ครอง ทรัพย์สิน ของผู้อื่น และ มีหนี้ อันเป็นคุณประโยชน์แก่ตน เกี่ยวด้วย ทรัพย์สิน ซึ่ง ครองนั้นไซร้ ท่านว่า ผู้นั้น จะยึดหน่วงทรัพย์สินนั้น ไว้จนกว่า จะได้ชำระหนี้ ก็ได้ แต่ความที่กล่าวนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ เมื่อ หนี้นั้น ยังไม่ถึงกำหนด
            อนึ่ง บทบัญญัติ ในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้า การที่เข้าครอบครองนั้น เริ่มมาแต่ การอันใดอันหนึ่ง ซึ่ง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อพิจารณาจากมาตรา 241 หลักเกณฑ์การเกิดสิทธิยึดหน่วง ต้องมีองค์ประกอบครบ 4 ประการ
1) ครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่น
ปพพ. มาตรา 1367
            บุคคลใด ยึดถือ ทรัพย์สิน โดยเจตนา จะยึดถือ เพื่อตน ท่านว่า บุคคลนั้น ได้ซึ่ง สิทธิครอบครอง
2) ได้การครอบครองโดยชอบ
3) มีหนี้เป็นคุณเกี่ยวด้วยทรัพย์สินที่ครอง
     ในการครองทรัพย์ผู้อื่นโดยชอบนั้นต้องมี
          (1) ต้องมีความผูกพันทางหนี้อยู่
          (2) เป็นหนี้ที่เกี่ยวกับทรัพย์ที่ครองนั้น
4) หนี้นัีนต้องถึงกำหนดชำระ
ปพพ. มาตรา 243
            ในกรณีที่ ลูกหนี้ เป็นคนสินล้นพ้นตัว ไม่สามารถใช้หนี้ เจ้าหนี้ มีสิทธิจะ ยึดหน่วง ทรัพย์สิน ไว้ได้ แม้ทั้งที่ ยังไม่ถึง กำหนดเรียกร้อง ถ้า การที่ลูกหนี้ ไม่สามารถใช้หนี้นั้น ได้เกิดเป็นขึ้น หรือ รู้ถึงเจ้าหนี้ ต่อภายหลังเวลา ที่ได้ส่งมอบ ทรัพย์สิน ไซร้ ถึงแม้ว่า จะไม่สมกับลักษณะ ที่เจ้าหนี้รับภาระ ในมูลหนี้ไว้เดิม หรือ ไม่สมกับคำสั่ง อันลูกหนี้ได้ให้ไว้ ก็ดี เจ้าหนี้ก็อาจจะ ใช้สิทธิยึดหน่วงได้


 เป็นคนสินล้นพ้นตัว มีความหมายเดียวกับ เป็นคนหนี้สินล้นพ้นตัว


2. ข้อยกเว้นที่ทำให้ไม่เกิดสิทธิยึดหน่วง


ปพพ. มาตรา 242
            สิทธิยึดหน่วงอันใด ถ้า ไม่สมกับลักษณะ ที่เจ้าหนี้รับภาระ ในมูลหนี้ ก็ดี ไม่สมกับคำสั่ง อันลูกหนี้ ได้ให้ไว้ ก่อน หรือ ให้ในเวลาที่ส่งมอบ ทรัพย์สินนั้น ก็ดี หรือ เป็นการขัดกับ ความสงบเรียบร้อย ของประชาชน ก็ดี สิทธิยึดหน่วง เช่นนั้น ท่านให้ถือว่า หามีไม่เลย

ลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้บัญญัติในมาตรา 242 คือ
     1) ไม่สมกับลักษณะที่เจ้าหนี้รับภาระในมูลหนี้
     2)ไม่สมกับคำสั่งอันลูกหนี้ได้ใ้ห้ไว้ก่อนหรือในเวลาที่ส่งมอบทรัพย์
     3) ขัดกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน


ตอนที่ 4.2 ผลของสิทธิยึดหน่วงและความระงับแห่งสิทธิยึดหน่วง


เรื่องที่ 4.2.1 ผลของสิทธิยึดหน่วง

     เมื่อเกิดสิทธิยึดหน่วงขึ้นแก่เจ้าหนี้แล้ว เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิและตกอยู่ในบังคับแห่งหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติในมาตรา 244, 245, 246, 247 และ 248


1. สิทธิของเจ้าหนี้ ผลของการยึดหน่วงทำให้เจ้าหนี้มีสิทธิ 3 ประการ


     (1) สิทธิที่จะยึดทรัพย์ไว้ได้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้จนสิ้นเชิง มาตรา 241, 244
     (2) สิทธิในดอกผล มาตรา 245
          อาจแยกได้ 2 กรณี
               2.1 สิทธิเก็บดอกผล
               2.2 สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากดอกผลนั้นก่อนเจ้าหนี้รายอื่น (แม้กระทั่งมากกว่า บุริมสิทธิ)
     (3) สิทธิได้ค่าใช้จ่ายที่จำเป็น มาตรา 245, 247

2.หน้าที่ของเจ้าหนี้   มาตรา 246 จากบทบัญญัติเจ้าหนี้ที่ใช้สิทธิยึดหน่วง มีหน้าที่ 2 ประการ คือ

     2.1 หน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์ที่ยึดหน่วงตามสมควร มาตรา 246 วรรคแรก
     2.2 หน้าที่ต้องไม่เอาไปใช้สอย หรือให้เช่า หรือทำเป็นหลักประกัน มาตรา 246 วรรคสอง

ปพพ. มาตรา 244
            ผู้ทรง สิทธิยึดหน่วง จะใช้สิทธิของตน แก่ ทรัพย์สิน ทั้งหมด ที่ยึดหน่วงไว้นั้น จนกว่า จะชำระหนี้สิ้นเชิง ก็ได้


ไม่ทำให้เกิดบุริมสิทธิ

ปพพ. มาตรา 245
            ผู้ทรง สิทธิยึดหน่วง จะเก็บ ดอกผล แห่ง ทรัพย์สิน ที่ยึดหน่วงไว้ และ จัดสรรเอาไว้ เพื่อการชำระหนี้ แก่ตน ก่อนเจ้าหนี้คนอื่น ก็ได้
            ดอกผล เช่นว่านี้ จะต้องจัดสรร เอาชำระ ดอกเบี้ย แห่งหนี้นั้นก่อน ถ้า ยังมีเหลือ จึงให้จัดสรร ใช้ต้นเงิน

าตรา 246 ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงจำต้องจัดการดูแลรักษาทรัพย์สิน ที่ยึดหน่วงไว้นั้นตามสมควร เช่นจะพึงคาดหมายได้จากบุคคลในฐานะ เช่นนั้น 
อนึ่ง ทรัพย์สินซึ่งยึดหน่วงไว้นั้น ถ้ามิได้รับความยินยอมของลูกหนี้ ท่านว่าผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงหาอาจจะใช้สอยหรือให้เช่า หรือเอาไปทำ เป็นหลักประกันได้ไม่ แต่ความที่กล่าวนี้ท่านมิให้ใช้บังคับไปถึงการ ใช้สอยเช่นที่จำเป็นเพื่อรักษาทรัพย์สินนั้นเอง
ถ้าผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงกระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติใดที่กล่าวมานี้ ท่านว่าลูกหนี้จะเรียกร้องให้ระงับสิทธินั้นเสียก็ได้ 

ปพพ. มาตรา 247
            ถ้า ผู้ทรง สิทธิยึดหน่วง ต้องเสียค่าใช้จ่ายไป ตามที่จำเป็น เกี่ยวด้วย ทรัพย์สิน อันตนยึดหน่วงไว้นั้น เพียงใด จะเรียกให้ เจ้าทรัพย์ ชดใช้ให้ ก็ได้

ปพพ. มาตรา 248
            ภายในบังคับ แห่งบทบัญญัติ มาตรา ๑๙๓/๒๗ การใช้สิทธิยึดหน่วง หาทำให้ อายุความแห่งหนี้ สะดุดหยุดลงไม่


ปพพ. มาตรา 150
            การใด
 มีวัตถุประสงค์ เป็นการ ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการ พ้นวิสัย หรือ เป็นการ ขัดต่อ ความสงบเรียบร้อย หรือ ศีลธรรมอันดี ของประชาชน การนั้น เป็นโมฆะ 
เทียบ มาตรา ๑๘๘


เรื่องที่ 4.2.2 ความระงับแห่งสิทธิยึดหน่วง

     สิทธิยึดหน่วงเป็นสิทธิอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ มีขึ้นเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ประธาน สิทธิยึดหน่วงจะมีได้ก็เมื่อมีหนี้ประธานอยู่ก่อนแล้ว เมื่อหนี้ประธานระงับไป สิทธิยึดหน่วงก็ระงับไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหนี้ประธานอาจยังมีอยู่ สิทธิยึดหน่วงก็อาจระงับไปด้วยเหตุดังต่่อไปนี้

     1) เจ้าหนี้ฝ่าฝืนหน้าที่ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 246 การฝ่าฝืนหน้าที่ของเจ้าหนี้มิได้ทำให้สิทธิยึดหน่วงระงับไปทันที เพียงแต่เป็นเหตุให้เกิดสิทะิแก่ลูกหนี้ที่จะเรียกร้องให้ระงับสิทธิยึดหน่วงนั้นสียโดยเรียกทรัพย์คืน แต่ลูกหนี้ต้องใช้สิทธิทางศาลเท่านั้น
     2) ลูกหนี้หาประกันมาให้ตามสมควร
ปพพ. มาตรา 249
            ลูกหนี้ จะเรียกร้อง ให้ระงับ สิทธิยึดหน่วง ด้วยหาประกัน ให้ไว้ตามสมควร ก็ได้
     3) การครองทรัพย์สูญสิ้นไป
ปพพ. มาตรา 250
            การครอง ทรัพย์สิน สูญสิ้นไป สิทธิยึดหน่วง ก็เป็นอัน ระงับสิ้นไปด้วย แต่ ความที่กล่าวนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่ กรณีที่ ทรัพย์สิน อันยึดหน่วงไว้นั้น ได้ให้เช่าไป หรือ จำนำไว้ ด้วยความยินยอม ของลูกหนี้
     4) การระงับโดยเหตุอื่น
เช่น ทรัพย์ที่ยึดไว้กลายเป็นของผู้ยึดหน่วงเอง, ถ้าทรัพย์ที่ยึดหน่วงไว้ถูกทำลายสลายลง


ตอนที่ 4.3 ข้อพิจารณาบางประการเกี่ยวกับสิทธิยึดหน่วง

เรื่องที่ 4.3.1 สิทธิยึดหน่วงไม่มีอายุความและไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง มาตรา 248

จากบทบัญญัติมาตรา 248 ก่อให้เกิดผล 2 ประการคือ
1. สิทธิยึดหน่วงไม่มีอายุความ
ปพพ. มาตรา 193/27
            ผู้รับจำนอง ผู้รับจำนำ ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง หรือ ผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สิน ของลูกหนี้ อันตนได้ยึดถือไว้ ยังคงมีสิทธิ บังคับชำระหนี้ จากทรัพย์สิน ที่จำนอง จำนำ หรือ ที่ได้ยึดถือไว้ แม้ว่า สิทธิเรียกร้อง ส่วนที่เป็นประธาน จะขาดอายุความแล้ว ก็ตาม แต่จะใช้สิทธินั้น บังคับให้ชำระ ดอกเบี้ย ที่ค้างย้อนหลัง เกินห้าปีขึ้นไป ไม่ได้
2. สิทธิยึดหน่วงไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง

เรื่องที่ 4.3.2 สิทธิยึดหน่วงกับสิทธิในสัญญาต่างตอบแทน และสิทธิยึดหน่วงกับสิทธิจำนอง จำนำ

1. สิทธิยึ่ดหน่วงกับสิทธิในสัญญาต่างตอบแทน
ปพพ. มาตรา 369
            ในสัญญาต่างตอบแทนนั้น
 คู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง จะไม่ยอมชำระหนี้ จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง จะชำระหนี้ หรือ ขอปฏิบัติการชำระหนี้ ก็ได้ แต่ความข้อนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้า หนี้ของคู่สัญญา อีกฝ่ายหนึ่ง ยังไม่ถึงกำหนด

สิทธิยึดหน่วงกับสิทธิในสัญญาต่างตอบแทนมีความแตกต่างกันอย่างสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้
     1.1 สิทธิในสัญญาต่่างตอบแทนเป็นสิทธิปฏิเสธชำระหนี้ตอบแทน โดยที่คู่สัญญายังไม่ได้มีฝ่ายใดปฏิบัติการชำระหนี้เลย เป็นเรื่องก่อนการชำระหนี้
         แต่สิทธิยึดหน่วงตามมาตรา 241 ไม่ใช่สิทธิปฏิเสธไม่ชำระหนี้เพราะสิทธิจะเกิดขึ้นต่อเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้ปฏิบัติการชำระหนี้ในส่วนของตนไปแล้วจนเกิดมีหนี้เป็นคุณแก่ตนขึ้น
     1.2 สิทธิตามสัญญาต่างตอบแทนจำกัดอยู่เฉพาะกรณีของหนี้ตามสัญญา และต้องเป็นสัญญาต่างตอบแทนด้วย
         ส่วนสิทธิยึดหน่วงของเจ้าของหนี้ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นหนี้ที่เกิดจากสัญญาเพียงอย่างเดียว อาจเป็นหนี้ที่เกิดจากการจัดการงานนอกสั่ง หรือหนี้ที่เกิดจากเหตุอื่นก็ได้
     1.3 สิทธิของเจ้าหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทนเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการครองทรัพย์ใดๆ มาก่อน
         ส่วนสิทธิยึดหน่วงเจ้าหนี้จะต้องได้ครองทรัพย์ที่ยึดหน่วงอยู่ก่อนแล้วจึงจะเกิดสิทธิยึดหน่วงได้

2. สิทธิยึดหน่วงกับสิทธิจำนอง จำนำ  จริงๆแล้วคล้ายๆกันแต่สิทธิยึดหน่วงมี่ข้อจำกัดหลายประการ ดังนี้
     2.1 เจ้าหนี้จำนอง จำนำ มีสิทธิที่จะบังคับเอาชำระหนี้จากตัวทรัพย์ได้โดยตรง แต่สิทธิยึดหน่วง ผู้ทรงสิทธิมีสิทธิเพียงยึดทรัพย์นั้นไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ (เว้นแต่ฟ้องร้องอาศัยอำนาจศาล)
     2.2 สิทธิยึดหน่วงต้องมีหนี้เกี่ยวกับทรัพย์สินที่ได้ครอง แต่กรณีจำนอง จำนำ ทรัพย์สิินที่เอามาประกันอาจไม่เกี่ยวกับหนี้เลย
     2.3 สิทธิจำนอง จำนำนั้นเป็นประกันพิเศษ เจ้าหนี้จำนองจำนำมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์นั้นก่อนเจ้าหนี้อื่นโดยไม่ต้องไปขอเฉลี่ยทรัพย์ แต่สิทธิยึดหน่วงนั้นไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อน ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงต้องไปขอเฉลี่ยทรัพย์เหมือนเจ้าหนี้สามัญอื่นๆ


















     

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557

หน่วยที่3 การบังคับชำระหนี้

ตอนที่ 3.1 การบังคับชำระหนี้ตามความประสงค์แห่งหนี้
เรื่องที่ 3.1.1 การบังคับชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจง
ปพพ. มาตรา 213
            "ถ้า ลูกหนี้ ละเลยเสีย ไม่ชำระหนี้ ของตน เจ้าหนี้ จะร้องขอต่อศาล ให้สั่งบังคับชำระหนี้ ก็ได้ เว้นแต่ สภาพแห่งหนี้ จะไม่เปิดช่อง ให้ทำเช่นนั้นได้
            เมื่อ สภาพแห่งหนี้ ไม่เปิดช่องให้ บังคับชำระหนี้ได้ ถ้า วัตถุแห่งหนี้ เป็นอันให้กระทำการ อันหนึ่งอันใด เจ้าหนี้ จะร้องขอต่อศาล ให้สั่งบังคับ ให้บุคคลภายนอก กระทำการอันนั้น โดยให้ลูกหนี้ เสียค่าใช้จ่ายให้ ก็ได้ แต่ถ้า วัตถุแห่งหนี้ เป็นอันให้กระทำ นิติกรรม อย่างใดอย่างหนึ่งไซร้ ศาลจะสั่ง ให้ถือเอา ตามคำพิพากษา แทนการแสดงเจตนา ของลูกหนี้ ก็ได้
            ส่วนหนี้ ซึ่ง มี วัตถุเป็นอันจะให้ งดเว้นการอันใด เจ้าหนี้ จะเรียกร้องให้รื้อถอน การที่ได้กระทำลงแล้วนั้น โดยให้ลูกหนี้ เสียค่าใช้จ่าย และ ให้จัดการอันควร เพื่อกาลภายหน้าด้วย ก็ได้
            อนึ่ง บทบัญญัติ ในวรรคทั้งหลาย ที่กล่าวมาก่อนนี้ หากระทบกระทั่งถึง สิทธิที่จะเรียกเอา ค่าเสียหายไม่"

ปพพ. มาตรา 214
            ภายใต้บังคับ บทบัญญัติแห่ง มาตรา ๗๓๓ เจ้าหนี้ มีสิทธิที่จะ ให้ชำระหนี้ของตน จาก ทรัพย์สิน ของลูกหนี้ จนสิ้นเชิง รวมทั้ง เงิน และ ทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่ง บุคคลภายนอก ค้างชำระ แก่ลูกหนี้ด้วย
 

 เหตุที่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้อาจมีได้ 2 กรณี คือ
1. กรณีเป็นหนี้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการ
2. หนี้ส่งมอบทรัพย์สิน

เรื่องที่ 3.1.2 กรณีสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับโดยเฉพาะเจาะจง
กฎหมายพยายามแก้เพื่อให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ให้ใกล้เคียงกับความประสงค์แห่งหนี้ให้มากที่สุด โดยกำหนดไว้ในมาตรา 213 วรรคสอง และวรรคสาม แยกพิจารณาเป็น 3 กรณี
1. การให้บุคคลภายนอกชำระหนี้แทน มาตรา 213 วรรคสอง
ปพพ. มาตรา 220
            ลูกหนี้ ต้องรับผิดชอบ ในความผิดของ ตัวแทน แห่งตน กับทั้ง ของบุคคล ที่ตนใช้ ในการชำระหนี้นั้น โดยขนาดเสมอกับว่า เป็นความผิด ของตนเอง ฉะนั้น แต่บทบัญญัติ มาตรา ๓๗๓ หาใช้บังคับแก่กรณี เช่นนี้ด้วยไม่
2. การให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา มาตรา 213 วรรคสอง
3. กรณีวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้งดเว้น มาตรา 213 วรรคสาม

ตอนที่ 3.2 การบังคับเอาค่าสินไหมทดแทน
เรื่องที่ 3.2.1 ลักษณะและเงื่อนไขการเรียกค่าสินไหมทดแทน
1. ลักษณะของสินไหมทดแทน  มีการเรียกอยู่ 2 ลักษณะ
     (1) การเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นส่วนหนึ่งของการชำระหนี้ อาจเกิดได้ 2 กรณี
          กรณีแรก เป็นเรื่องที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้
ปพพ. มาตรา 215
            เมื่อ ลูกหนี้ ไม่ชำระหนี้ ให้ต้องตาม ความประสงค์ อันแท้จริง แห่งมูลหนี้ไซร้ เจ้าหนี้ จะเรียกเอา ค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหาย อันเกิดแต่การนั้น ก็ได้

          กรณีสอง เป็นเรื่องที่ลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ และต้องมีการบังคับชำระหนี้ มาตรา 213 วรรคสี่
     (2) การเรียกค่าสินไหมทดแทนแทนการชำระหนี้ มีหลายสาเหตุ
          ก.เมื่อบังคับชำระหนี้ไม่ได้ เพราะสภาพหนี้ไม่เปิดช่องตามมาตรา 213 วรคคแรก และเจ้าหนี้ไม่ใช้มาตรการอื่นเพื่อบังคับชำระหนี้ ตามมาตรา 213 วรรคสอง และวรรคสาม แต่เจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกค่าสินไหมแทน2. เงื่อนไขในการเรียกค่าสินไหมทดแทน ต้องมีครบ 4 ประการ คือ
     (1) มีการไม่ชำระหนี้
     (2) มีพฤติการณ์ที่โทษลูกหนี้ได้
     (3) เจ้าหนี้ต้องได้รับความเสียหาย
     (4) ต้องไม่มีสัญญาตัดสิทธิ

เรื่องที่ 3.2.2 ค่าสินไหมทดแทนที่จะเรียกได้
1. แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับความเสียหาย
2. ค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมายไทย
     ก. ค่าเสียหายปกติ มาตรา 222 วรรคแรก
     ข. ค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ มาตรา 222 วรรคสอง
ปพพ. มาตรา 222
            การเรียกเอา ค่าเสียหายนั้น ได้แก่ เรียก ค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหาย เช่นที่ ตามปกติ ย่อมเกิดขึ้น แต่ การไม่ชำระหนี้นั้น
            เจ้าหนี้ จะเรียก ค่าสินไหมทดแทนได้ แม้กระทั่ง เพื่อความเสียหาย อันเกิดแต่ พฤติการณ์พิเศษ หากว่า คู่กรณีที่เกี่ยวข้อง ได้คาดเห็น หรือ ควรจะได้คาดเห็น พฤติการณ์เช่นนั้น ล่วงหน้าก่อนแล้ว
ปพพ. มาตรา 223
            ถ้า ฝ่ายผู้เสียหาย ได้มีส่วน ทำความผิด อย่างใดอย่างหนึ่ง ก่อให้เกิด ความเสียหายด้วยไซร้ ท่านว่า หนี้อันจะต้องใช้ ค่าสินไหมทดแทน แก่ฝ่ายผู้เสียหาย มากน้อยเพียงใดนั้น ต้องอาศัยพฤติการณ์ เป็นประมาณ ข้อสำคัญก็คือว่า ความเสียหายนั้น ได้เกิดขึ้น เพราะฝ่ายไหน เป็นผู้ก่อ ยิ่งหย่อนกว่ากัน เพียงไร
            วิธีเดียวกันนี้ ท่านให้ใช้ แม้ทั้งที่ ความผิด ของฝ่ายผู้ที่เสียหาย จะมีแต่เพียง ละเลยไม่เตือนลูกหนี้ ให้รู้ถึงอันตราย แห่งการเสียหาย อันเป็น อย่างร้ายแรงผิดปกติ ซึ่ง ลูกหนี้ไม่รู้ หรือ ไม่อาจจะรู้ได้ หรือ เพียงแต่ละเลย ไม่บำบัดปัดป้อง หรือ บรรเทาความเสียหายนั้นด้วย อนึ่ง บทบัญญัติแห่ง มาตรา ๒๒๐ นั้น ท่านให้นำมาใช้บังคับด้วย โดยอนุโลม
ปพพ. มาตรา 224
            หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ย ระหว่างเวลาผิดนัด ร้อยละ เจ็ดครึ่ง ต่อปี ถ้า เจ้าหนี้ อาจจะเรียกเอาดอกเบี้ย ได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่น อันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ย ต่อไปตามนั้น
            ท่านห้ามมิให้ คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย ในระหว่างผิดนัด
            การพิสูจน์ ค่าเสียหายอย่างอื่น นอกกว่านั้น ท่านอนุญาตให้พิสูจน์ได้

ค่าเสียหายที่ศาลไม่ให้ อาศัยมาตรา 222 แยกได้ 3 ประการ

1) ความเสียหายนั้นต้องเป็นผลมาจากการไม่ชำระหนี้ ดังที่บัญญัติว่า "เพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้"
2) ความเสียหายที่เกิดขึ้น "เช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น"
3) ความเสียหายที่ไม่เกิดขึ้นตามปกติ
ค่าเสียหายทางจิตใจ
เป็นค่าเสียหายประเภทหนึ่งที่ศาลไม่ให้ โดยให้เหตุผลว่าไม่มีบทบัญญัติให้เรียกได้

     ค. ค่าสินไหมทดแทนกรณีผู้เสียหายมีส่วนผิด มาตรา 223
     ง. ค่าสินไหมทดแทนกรณีเป็นหนี้เงิน มาตรา 224

ดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย มาตรา 224 วรรคสอง
การเรียกค่าเสียหายส่วนอื่น มาตรา 224 วรรคสาม

     จ. ค่าสินไหมทดแทนพิเศษกรณีวัตถุเสื่อมเสียไประหว่างผิดนัด
ปวพ. มาตรา 225
            ข้อเท็จจริง หรือ ข้อกฎหมาย ที่จะยกขึ้นอ้าง ในการยื่น อุทธรณ์นั้น คู่ความ จะต้องกล่าวไว้ โดยชัดแจ้ง ในอุทธรณ์ และ ต้องเป็น ข้อที่ได้ยกขึ้น ว่ากันมาแล้ว โดยชอบ ใน ศาลชั้นต้น ทั้งจะต้อง เป็นสาระ แก่คดี อันควรได้รับ การวินิจฉัยด้วย
            ถ้า คู่ความ ฝ่ายใด มิได้ยก ปัญหาข้อใด อันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อย ของประชาชน ขึ้นกล่าว ในศาลชั้นต้น หรือ คู่ความ ฝ่ายใด ไม่สามารถ ยกปัญหา ข้อกฎหมายใดๆ ขึ้นกล่าว ในศาลชั้นต้น เพราะพฤติการณ์ ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ หรือ เพราะเหตุ เป็นเรื่องที่ ไม่ปฏิบัติตาม บทบัญญัติ ว่าด้วย กระบวนพิจารณา ชั้นอุทธรณ์ คู่ความ ที่เกี่ยวข้อง ย่อมมีสิทธิ ที่จะยกขึ้นอ้าง ซึ่ง ปัญหา เช่นว่านั้นได้


เทียบ มาตรา ๒๔๙ ฎีกา
     ฉ. ค่าเสียหายที่กำหนดกันไว้ล่วงหน้า
ปพพ. มาตรา 379
            ถ้า ลูกหนี้ สัญญาแก่ เจ้าหนี้ว่า จะใช้ เงินจำนวนหนึ่ง เป็น เบี้ยปรับ เมื่อ ตนไม่ชำระหนี้ ก็ดี หรือ ไม่ชำระหนี้ ให้ถูกต้องสมควร ก็ดี เมื่อ ลูกหนี้ผิดนัด ก็ให้ ริบเบี้ยปรับ ถ้า การชำระหนี้ อันจะพึงทำนั้น ได้แก่ งดเว้น การอันใดอันหนึ่ง หากทำการอันนั้น ฝ่าฝืนมูลหนี้ เมื่อใด ก็ให้ ริบเบี้ยปรับ เมื่อนั้น

ตอนที่ 3.3 หนี้ที่บังคับไม่ได้
เรื่องที่ 3.3.1
หนี้ที่ขาดกำลังบังคับ
    1. หนี้ที่ขาดอายุความ คือถ้าลูกหนี้ไปชำระหนี้ก็จะเรียกคืนโดยอาศัยเป็นลาภมิควรได้ไม่ได้
ปพพ. มาตรา 408
            บุคคล ดังกล่าว ต่อไปนี้ ไม่มีสิทธิ จะได้รับคืนทรัพย์ คือ
                    (๑) บุคคล ผู้ชำระหนี้ อันมีเงื่อนเวลาบังคับ เมื่อ ก่อนถึง กำหนดเวลานั้น
                    (๒) บุคคล ผู้ชำระหนี้ ซึ่ง ขาดอายุความแล้ว
                    (๓) บุคคล ผู้ชำระหนี้ ตามหน้าที่ศีลธรรม หรือ ตามควรแก่อัธยาศัย ในสมาคม
ปพพ. มาตรา 193/10
            สิทธิเรียกร้อง
 ที่ ขาดอายุความ ลูกหนี้ มีสิทธิที่จะ ปฏิเสธการชำระหนี้ ตาม สิทธิเรียกร้องนั้นได้
ปพพ. มาตรา 193/29
            เมื่อ ไม่ได้ยกอายุความ ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาล จะอ้างเอาอายุความ มาเป็นเหตุยกฟ้อง ไม่ได้
     2. หนี้ที่ขาดหลักฐานตามกฎหมายกำหนด
ปพพ. มาตรา 653
            *
การกู้ยืมเงิน
 กว่า สองพันบาท ขึ้นไป นั้น ถ้า มิได้มี หลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อ ผู้ยืม เป็นสำคัญ จะฟ้องร้อง ให้บังคับคดี หาได้ไม่
            ในการกู้ยืมเงิน มีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่า จะนำสืบการใช้เงิน ได้ต่อเมื่อ มีหลักฐานเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อ ผู้ให้ยืม มาแสดง หรือ เอกสาร อันเป็น หลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้น ได้เวนคืนแล้ว หรือ ได้แทงเพิกถอน ลงใน เอกสาร นั้นแล้ว

*วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๔ แห่ง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๔๘

ปพพ. มาตรา ๖๕๓(เดิม)
            การกู้ยืมเงิน กว่า ห้าสิบบาท ขึ้นไป ถ้า มิได้มี หลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อ ผู้ยืม เป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้อง ให้บังคับคดี หาได้ไม่

ปพพ. มาตรา 538
            เช่า อสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้า มิได้มีหลักฐาน เป็นหนังสือ อย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิด เป็นสำคัญ ท่านว่า จะฟ้องร้อง ให้บังคับคดี หาได้ไม่ ถ้า เช่ามีกำหนด กว่าสามปี ขึ้นไป หรือ กำหนดตลอดอายุ ของผู้เช่า หรือ ผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ ทำเป็นหนังสือ และ จดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่า การเช่านั้น จะฟ้องร้อง ให้บังคับคดี ได้แต่เพียง สามปี
ปพพ. มาตรา 680
            อันว่า ค้ำประกัน นั้น คือ สัญญา ซึ่ง บุคคลภายนอก คนหนึ่ง เรียกว่า ผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อ เจ้าหนี้ คนหนึ่ง เพื่อชำระหนี้ ในเมื่อ ลูกหนี้ ไม่ชำระหนี้นั้น
            อนึ่ง สัญญาค้ำประกันนั้น ถ้า มิได้มีหลักฐาน เป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อ ผู้ค้ำประกัน เป็นสำคัญ ท่านว่า จะฟ้องร้องให้บังคับคดี หาได้ไม่
ปพพ. มาตรา 851
            อันสัญญา ประนีประนอมยอมความนั้น ถ้า มิได้มี หลักฐานเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือ ลายมือชื่อ ตัวแทน ของฝ่ายนั้น เป็นสำคัญ ท่านว่า จะฟ้องร้องให้บังคับคดี หาได้ไม่

3. หนี้ตามหน้าที่ศีลธรรม หรือตามควรแก่อัธยาศัยในสมาคม
4. หนี้การพนัน
5. หนี้ที่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี

เรื่องที่ 3.3.2 หนี้ที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย
 ปพพ. มาตรา 218
            ถ้า การชำระหนี้ กลายเป็นพ้นวิสัยจะทำได้ เพราะพฤติการณ์ อันใดอันหนึ่ง ซึ่ง ลูกหนี้ ต้องรับผิดชอบ ไซร้ ท่านว่า ลูกหนี้ จะต้อง ใช้ ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่ เจ้าหนี้ เพื่อค่าเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่ การไม่ชำระหนี้นั้น
            ในกรณีที่ การชำระหนี้ กลายเป็นพ้นวิสัย แต่เพียงบางส่วน ถ้าหากว่า ส่วนที่ยังเป็นวิสัย จะทำได้นั้น จะเป็นไร้ประโยชน์ แก่เจ้าหนี้แล้ว เจ้าหนี้ จะไม่ยอมรับชำระหนี้ ส่วนที่ยังเป็นวิสัย จะทำได้นั้นแล้ว และ เรียก ค่าสินไหมทดแทน เพื่อการไม่ชำระหนี้ เสียทั้งหมดทีเดียว ก็ได้

ปพพ. มาตรา 219
            ถ้า การชำระหนี้ กลายเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์ อันใดอันหนึ่ง ซึ่ง เกิดขึ้นภายหลัง ที่ได้ก่อหนี้ และ ซึ่ง ลูกหนี้ ไม่ต้องรับผิดชอบนั้น ไซร้ ท่านว่า ลูกหนี้ เป็นอัน หลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น
            ถ้า ภายหลัง ที่ได้ก่อหนี้ขึ้นแล้วนั้น ลูกหนี้ กลายเป็น คนไม่สามารถจะ ชำระหนี้ได้ไซร้ ท่านให้ถือเสมือนว่า เป็นพฤติการณ์ ที่ทำให้การชำระหนี้ ตกเป็นอันพ้นวิสัย ฉะนั้น
 
ดู มาตรา ๓๗๒ ด้วย

เรื่องการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย แยกพิจารณาเป็น 3 ประเด็น
     1. การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยกับเหตุสุดวิสัย คือพ้นวิสัยเป็นผล เหตุสุดวิสัยเป็นเหตุ
     2. เหตุที่ทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย มีหลายสาเหตุคือ
          (1) เหตุเพราะตัวลูกหนี้เอง
          (2) เหตุเพราะบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกหนี้
          (3) เหตุเพราะเหตุสุดวิสัยหรืออุบัติเหตุ
     3. ผลของการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย การที่ลูกหนี้จะต้องรับผิดหรือไม่จะต้องพิจารณาถึงเหตุที่ทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย ดังนี้
          (1) การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์ที่ลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ มาตรา 218 วรรคแรก
หรือบุคคลที่ลูกหนี้ใช้ในการชำระหนี้ ตามมาตรา 220 
ปพพ. มาตรา 220
            ลูกหนี้ ต้องรับผิดชอบ ในความผิดของ ตัวแทน แห่งตน กับทั้ง ของบุคคล ที่ตนใช้ ในการชำระหนี้นั้น โดยขนาดเสมอกับว่า เป็นความผิด ของตนเอง ฉะนั้น แต่บทบัญญัติ มาตรา ๓๗๓ หาใช้บังคับแก่กรณี เช่นนี้ด้วยไม่
 
        
         (2) การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย ซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ มาตรา 219 วรรคแรก, วรรคสอง











     
 





หน่วยที่2 หน้าที่ในการชำระหนี้


หนี้

่ตอนที่ 2.1 กำหนดเวลาชำระหนี้
มี 2 กรณี
1. หนี้ที่ิมิได้กำหนดเวลาชำระหนี้
2. หนี้ที่ิมีกำหนดเวลาหนี้

เรื่องที่ 2.1.1 หนี้ที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้
          ม.203 วรรคแรก "ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้นั้นมิได้กำหนดไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน"

เรื่องที่ 2.1.2 หนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้
         1. กำหนดเวลาชำระหนี้แต่เป็นที่สงสัย ม.203 วรรคสอง "ถ้าได้กำหนดเวลาไว้ แต่หากเป็นกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้"
        2. กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ไม่เป็นที่สงสัย แบ่งเป็น 2 อย่าง
            (1) กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน ม.204 วรรคสอง "ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่บอกกล่าว"
            (2) กำหนดเวลาชำระหนี้มิใช่ตามวันแห่งปฏิทิน ม.204 วรรคแรก "ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วและภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว"

ตอนที่ 2.2 การผิดนัดไม่ชำระหนี้
เรื่องที่ 2.2.1 การผิดนัด แยกได้ 2 กรณี
                    1. ลูกหนี้ผิดนัดโดยต้องเตือนก่อน มีอีก 2 กรณี
                        (1) หนี้ทีกำหนดเวลาชำระหนี้มิใช่ตามวันแห่งปฏิทิน ม.204 วรรคแรก
                        (2) หนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระตาม มาตรา 203
                   2. ลูกหนี้ผิดนัดโดยเจ้าหนี้ไม่ต้องเตือน มีอีก 2 ประเภท
                       (1) หนี้ที่มีกำหนดชำระตามวันแห่งปฏิทิน ม.204 วรรคสอง
                       (2) หนี้ละเมิด ม.206 "ในกรณีหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด"

พฤติการณ์ซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบหนี้
     1. เป็นเหตุที่เกิดจากเจ้าหนี้เอง
     2. เหตุเกิดจากบุคคลภายนอก
     3. เกิดจากภัยธรรมชาติ

เรื่องที่ 2.2.2 ผลของการผิดนัด
     1. ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดแต่การผิดนัด
                   ม.215 "เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ไซร้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้"
     2. เจ้าหนี้อาจไม่รับชำระหนี้
                  ม.216 "ถ้าโดยเหตุผิดนัด การชำระหนี้กลายเป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้จะบอกปัดไม่ชำระหนี้และจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ก็ได้"
              ปพพ. มาตรา 388
            "ถ้า วัตถุที่ประสงค์ แห่งสัญญานั้น ว่าโดยสภาพ หรือ โดยเจตนาที่คู่สัญญา ได้แสดงไว้ จะเป็นผลสำเร็จได้ ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณ เวลาที่กำหนดก็ดี ก็ดี หรือ ภายในระยะเวลา อันใดอันหนึ่ง ซึ่ง กำหนดไว้ ก็ดี และ กำหนดเวลา หรือ ระยะเวลานั้น ได้ล่วงพ้นไป โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มิได้ชำระหนี้ไซร้ ท่านว่า อีกฝ่ายหนึ่ง จะเลิกสัญญานั้นเสีย ก็ได้ มิพักต้องบอกกล่าว ดังว่าไว้ ในมาตราก่อนนั้นเลย"
             ปพพ. มาตรา 387
            "ถ้า คู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง ไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายหนึ่ง จะกำหนดระยะเวลา พอสมควร แล้วบอกกล่าว ให้ฝ่ายนั้น ชำระหนี้ ภายในระยะเวลานั้น ก็ได้ ถ้าและ ฝ่ายนั้น ไม่ชำระหนี้ ภายในระยะเวลา ที่กำหนดให้ไซร้ อีกฝ่ายหนึ่ง จะเลิกสัญญาเสีย ก็ได้"
     3. ลูกหนี้ต้องรับผิดชอบในความเสียหายอันเกิดระหว่างผิดนัดเพิ่มขึ้น
            ปพพ. มาตรา 217
            "ลูกหนี้
 จะต้องรับผิดชอบ ในความเสียหาย บรรดาที่เกิดแต่ ความประมาทเลินเล่อ ในระหว่างเวลา ที่ตนผิดนัด ทั้งจะต้องรับผิดชอบ ในการที่ การชำระหนี้ กลายเป็น พ้นวิสัย เพราะอุบัติเหตุ อันเกิดขึ้น ในระหว่างเวลา ที่ผิดนัดนั้นด้วย เว้นแต่ ความเสียหายนั้น ถึงแม้ว่า ตนจะได้ชำระหนี้ ทันเวลากำหนด ก็คงจะต้อง เกิดมีอยู่นั่นเอง"

ตอนที่ 2.3 เจ้าหนี้ผิดนัด
เรื่องที่ 2.3.1 เหตุที่เจ้าหนี้ผิดนัด แยกเป็น 2 กรณี
     1. เจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้
            ปพพ. มาตรา 207
            "ถ้า ลูกหนี้ ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และ เจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้ โดยปราศจากมูลเหตุ อันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่า เจ้าหนี้ ตกเป็น ผู้ผิดนัด"
            ปพพ. มาตรา 320
            "อันจะบังคับให้ เจ้าหนี้ รับชำระหนี้ แต่เพียงบางส่วน หรือ ให้รับชำระหนี้ เป็นอย่างอื่น ผิดไปจาก ที่จะต้องชำระแก่ เจ้าหนี้นั้น ท่านว่า หาอาจจะบังคับได้ไม่"
             ปพพ. มาตรา 211
            "ในเวลาที่ ลูกหนี้ ขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้น ก็ดี หรือ ในเวลาที่กำหนดไว้ให้ เจ้าหนี้ ทำการ อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยกรณีที่ บัญญัติไว้ใน มาตรา ๒๐๙ นั้น ก็ดี ถ้า ลูกหนี้ มิได้อยู่ในฐานะ ที่จะชำระหนี้ได้ไซร้ ท่านว่า เจ้าหนี้ ยังหาผิดนัดไม่"   
            ปพพ. มาตรา 208
            "การชำระหนี้ จะให้สำเร็จผลเป็นอย่างใด ลูกหนี้จะต้อง ขอปฏิบัติการชำระหนี้ ต่อเจ้าหนี้ เป็นอย่างนั้น โดยตรง
            แต่ถ้า เจ้าหนี้ ได้แสดงแก่ลูกหนี้ว่า จะไม่รับชำระหนี้ ก็ดี หรือ เพื่อที่จะชำระหนี้ จำเป็นที่เจ้าหนี้ จะต้องกระทำการ อย่างใดอย่างหนึ่ง ก่อน ก็ดี ลูกหนี้จะบอกกล่าว แก่เจ้าหนี้ว่า ได้เตรียมการ ที่จะชำระหนี้ ไว้พร้อมแล้ว ให้เจ้าหนี้ รับชำระหนี้นั้น เท่านี้ก็นับว่า เป็นการเพียงพอแล้ว ในกรณีเช่นนี้ ท่านว่า คำบอกกล่าว ของลูกหนี้นั้น ก็เสมอกับ คำขอปฏิบัติการชำระหนี้"
           ปพพ.มาตรา 212
           "ถ้าไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ก็ดี หรือถ้าลูกหนี้มีสิทธิที่จะชำระหนี้ได้ก่อนเวลากำหนดก็ดี การที่เจ้าหนี้้มีเหตุขัดข้องชั่วคราวไม่อาจชำระหนี้ที่เขาขอปฏิบัติแก่ตนได้นั้น หาทำให้เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดไม่ เว้นแต่ลูกหนี้จะได้บอกกล่าวการชำระหนี้ไว้ล่วงหน้าด้วยเวลาอันสมควร"
     2. เจ้าหนี้ไม่เสนอที่จะชำระหนี้ตอบแทน
             ปพพ. มาตรา 369
            "ในสัญญาต่างตอบแทนนั้น
 คู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง จะไม่ยอมชำระหนี้ จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง จะชำระหนี้ หรือ ขอปฏิบัติการชำระหนี้ ก็ได้ แต่ความข้อนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้า หนี้ของคู่สัญญา อีกฝ่ายหนึ่ง ยังไม่ถึงกำหนด"
            ปพพ. มาตรา 210
            "ถ้า ลูกหนี้ จำต้องชำระหนี้ ส่วนของตน ต่อเมื่อ เจ้าหนี้ ชำระหนี้ตอบแทนด้วยไซร้ แม้ถึงว่า เจ้าหนี้ จะได้เตรียมพร้อม ที่จะรับชำระหนี้ ตามที่ลูกหนี้ ขอปฏิบัตินั้นแล้ว ก็ดี หากไม่เสนอที่จะ ทำการชำระหนี้ตอบแทน ตามที่จะ พึงต้องทำ เจ้าหนี้ ก็เป็นอันได้ชื่อว่า ผิดนัด"

เรื่องที่ 2.3.2  ผลของการที่เจ้าหนี้ผิดนัด
            ปพพ. มาตรา 221
            หนี้เงิน อันต้องเสียดอกเบี้ยนั้น ท่านว่า จะคิดดอกเบี้ย ในระหว่างที่ เจ้าหนี้ผิดนัด หาได้ไม่


















วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

2.1.1 ความหมาย ที่มา และลักษณะของทรัพยสิทธิ

1.ความหมายและที่มาของทรัพยสิทธิ
          ทรัพยสิทธฺิ หมายถึง สิทธิที่มีวัตถุแห่งสิทธิเป็นทรัพย์สิน เป็นสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินนั้นในอันจะบังคับเอาแก่ตัวทรัพย์สินนั้ได้โดยตรง
           *** เช่น กรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง สิทธิเก็บกิน สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิอาศัย ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

2. ลักษณะของทรัพยสิทธิ
    2.1 ทรัพยสิทธิมีวัตถุแห่งสิทธิเป็นทรัพย์สิน

วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เรื่องที่ 1.2.3 ดอกผลของทรัพย์

ป.พ.พ.ม.148 "ดอกผลของทรัพย์ ได้แก่ ดอกผลธรรมดา และดอกผลนิตินัย"
          ดอกผลธรรมดา สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของทรัพย์ซึ่งได้มาจากตัวทรัพย์ โดยการมีหรือใช้ทรัพย์นั้นตามปกตินิยม  และสามารถถือเอาได้เมื่อขาดจากทรัพย์นั้น
          มีองค์ประกอบดังนี้
                 - ต้องเป็นทรัพย์ที่งอกเงยเพิ่มพูนจากตัวแม่ทรัพย์
                 - ต้องเกิดขึ้นโดยตามธรรมชาติจากแม่ทรัพย์
                 - ถือเอาได้เมื่อขาดจากแม่ทรัพย์แล้ว  
          อุทาหรณ์
                 - ดอกผลของไม้ยืนต้น เป็นดอกผลธรรมดาของต้นไม้นั้นๆ (รวมทั้งคนปลูกเอง)
                 -  ลูกสุกร เป็นดอกผลธรรมดาของพ่อแม่สุกรนั้นๆ
                 - ลูกสุกรจากการผสมเทียม ไม่ใช่ดอกผลธรรมดา
                 - ต้นข้าวเกิดขึ้นจากแรงงาน ไม่ใช่ดอกผลธรรมดาของนา    
                 - เขาควาย งาช้าง ไม่ใช่ดอกผลธรรมดา    
   
          ดอกผลนิตินัย ทรัพย์หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้มาเป็นครั้งคราวแก่เจ้าทรัพย์จากผู้อื่นเพื่อการที่ได้ใช้ทรัพย์นั้น และสามารถคำนวณและถือเอาได้เป็นรายวันหรือตามระยะเวลาที่กำหนดไว้
          มีองค์ประกอบดังนี้
                 - ต้องเป็นทรัพย์หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้แก่เจ้าของ
                 - ต้องได้มาจากการที่ผู้อื่นได้ใช้แม่ทรัพย์ เช่นค่าเช่า และดอกเบี้ย เป็นต้น
                 - ต้องได้มาโดยการคำนวณและถือเอาได้ อันมีระยะเวลาจำกัด
           อุทาหรณ์
                 - ดอกเบี้ยเป็นดอกผลนิตินัย ย่อมตกเป็นของเจ้าของทรัพย์
                 - ค่าเช่าเรือเป็นดอกผลนิตินัย ย่อมตกเป็นของเจ้าของเรือ
                 - ค่าเช่าสิ่งปลูกสร้างเป็นดอกผลนิตินัย
                 - เงินค่าประมูลกรีดยางเป็นดอกผลนิตินัย
*** ตัวอย่างดอกผลนิตินัย ค่าเช่า, ดอกเบี้ย, เงินปันผล, ค่าหน้าดิน, ค่าผ่านทาง

          ข้อสังเกต ตามนัยของมาตรา 1336 ซึ่งบทหลักในเรื่องกรรมสิทธิ์ ใน ป.พ.พ.ม.1336 "ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธฺิใช้สอย และจำหน่ายทรัพย์สินของตนเองและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธฺิจะยึดถือไว้และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย"
        เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ เช่น เรื่องลาภมิควรได้ (ม.415), สิทธิอาศัย (ม.1406)ฯลฯ