วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557

หน่วยที่3 การบังคับชำระหนี้

ตอนที่ 3.1 การบังคับชำระหนี้ตามความประสงค์แห่งหนี้
เรื่องที่ 3.1.1 การบังคับชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจง
ปพพ. มาตรา 213
            "ถ้า ลูกหนี้ ละเลยเสีย ไม่ชำระหนี้ ของตน เจ้าหนี้ จะร้องขอต่อศาล ให้สั่งบังคับชำระหนี้ ก็ได้ เว้นแต่ สภาพแห่งหนี้ จะไม่เปิดช่อง ให้ทำเช่นนั้นได้
            เมื่อ สภาพแห่งหนี้ ไม่เปิดช่องให้ บังคับชำระหนี้ได้ ถ้า วัตถุแห่งหนี้ เป็นอันให้กระทำการ อันหนึ่งอันใด เจ้าหนี้ จะร้องขอต่อศาล ให้สั่งบังคับ ให้บุคคลภายนอก กระทำการอันนั้น โดยให้ลูกหนี้ เสียค่าใช้จ่ายให้ ก็ได้ แต่ถ้า วัตถุแห่งหนี้ เป็นอันให้กระทำ นิติกรรม อย่างใดอย่างหนึ่งไซร้ ศาลจะสั่ง ให้ถือเอา ตามคำพิพากษา แทนการแสดงเจตนา ของลูกหนี้ ก็ได้
            ส่วนหนี้ ซึ่ง มี วัตถุเป็นอันจะให้ งดเว้นการอันใด เจ้าหนี้ จะเรียกร้องให้รื้อถอน การที่ได้กระทำลงแล้วนั้น โดยให้ลูกหนี้ เสียค่าใช้จ่าย และ ให้จัดการอันควร เพื่อกาลภายหน้าด้วย ก็ได้
            อนึ่ง บทบัญญัติ ในวรรคทั้งหลาย ที่กล่าวมาก่อนนี้ หากระทบกระทั่งถึง สิทธิที่จะเรียกเอา ค่าเสียหายไม่"

ปพพ. มาตรา 214
            ภายใต้บังคับ บทบัญญัติแห่ง มาตรา ๗๓๓ เจ้าหนี้ มีสิทธิที่จะ ให้ชำระหนี้ของตน จาก ทรัพย์สิน ของลูกหนี้ จนสิ้นเชิง รวมทั้ง เงิน และ ทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่ง บุคคลภายนอก ค้างชำระ แก่ลูกหนี้ด้วย
 

 เหตุที่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้อาจมีได้ 2 กรณี คือ
1. กรณีเป็นหนี้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการ
2. หนี้ส่งมอบทรัพย์สิน

เรื่องที่ 3.1.2 กรณีสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับโดยเฉพาะเจาะจง
กฎหมายพยายามแก้เพื่อให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ให้ใกล้เคียงกับความประสงค์แห่งหนี้ให้มากที่สุด โดยกำหนดไว้ในมาตรา 213 วรรคสอง และวรรคสาม แยกพิจารณาเป็น 3 กรณี
1. การให้บุคคลภายนอกชำระหนี้แทน มาตรา 213 วรรคสอง
ปพพ. มาตรา 220
            ลูกหนี้ ต้องรับผิดชอบ ในความผิดของ ตัวแทน แห่งตน กับทั้ง ของบุคคล ที่ตนใช้ ในการชำระหนี้นั้น โดยขนาดเสมอกับว่า เป็นความผิด ของตนเอง ฉะนั้น แต่บทบัญญัติ มาตรา ๓๗๓ หาใช้บังคับแก่กรณี เช่นนี้ด้วยไม่
2. การให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา มาตรา 213 วรรคสอง
3. กรณีวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้งดเว้น มาตรา 213 วรรคสาม

ตอนที่ 3.2 การบังคับเอาค่าสินไหมทดแทน
เรื่องที่ 3.2.1 ลักษณะและเงื่อนไขการเรียกค่าสินไหมทดแทน
1. ลักษณะของสินไหมทดแทน  มีการเรียกอยู่ 2 ลักษณะ
     (1) การเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นส่วนหนึ่งของการชำระหนี้ อาจเกิดได้ 2 กรณี
          กรณีแรก เป็นเรื่องที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้
ปพพ. มาตรา 215
            เมื่อ ลูกหนี้ ไม่ชำระหนี้ ให้ต้องตาม ความประสงค์ อันแท้จริง แห่งมูลหนี้ไซร้ เจ้าหนี้ จะเรียกเอา ค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหาย อันเกิดแต่การนั้น ก็ได้

          กรณีสอง เป็นเรื่องที่ลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ และต้องมีการบังคับชำระหนี้ มาตรา 213 วรรคสี่
     (2) การเรียกค่าสินไหมทดแทนแทนการชำระหนี้ มีหลายสาเหตุ
          ก.เมื่อบังคับชำระหนี้ไม่ได้ เพราะสภาพหนี้ไม่เปิดช่องตามมาตรา 213 วรคคแรก และเจ้าหนี้ไม่ใช้มาตรการอื่นเพื่อบังคับชำระหนี้ ตามมาตรา 213 วรรคสอง และวรรคสาม แต่เจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกค่าสินไหมแทน2. เงื่อนไขในการเรียกค่าสินไหมทดแทน ต้องมีครบ 4 ประการ คือ
     (1) มีการไม่ชำระหนี้
     (2) มีพฤติการณ์ที่โทษลูกหนี้ได้
     (3) เจ้าหนี้ต้องได้รับความเสียหาย
     (4) ต้องไม่มีสัญญาตัดสิทธิ

เรื่องที่ 3.2.2 ค่าสินไหมทดแทนที่จะเรียกได้
1. แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับความเสียหาย
2. ค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมายไทย
     ก. ค่าเสียหายปกติ มาตรา 222 วรรคแรก
     ข. ค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ มาตรา 222 วรรคสอง
ปพพ. มาตรา 222
            การเรียกเอา ค่าเสียหายนั้น ได้แก่ เรียก ค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหาย เช่นที่ ตามปกติ ย่อมเกิดขึ้น แต่ การไม่ชำระหนี้นั้น
            เจ้าหนี้ จะเรียก ค่าสินไหมทดแทนได้ แม้กระทั่ง เพื่อความเสียหาย อันเกิดแต่ พฤติการณ์พิเศษ หากว่า คู่กรณีที่เกี่ยวข้อง ได้คาดเห็น หรือ ควรจะได้คาดเห็น พฤติการณ์เช่นนั้น ล่วงหน้าก่อนแล้ว
ปพพ. มาตรา 223
            ถ้า ฝ่ายผู้เสียหาย ได้มีส่วน ทำความผิด อย่างใดอย่างหนึ่ง ก่อให้เกิด ความเสียหายด้วยไซร้ ท่านว่า หนี้อันจะต้องใช้ ค่าสินไหมทดแทน แก่ฝ่ายผู้เสียหาย มากน้อยเพียงใดนั้น ต้องอาศัยพฤติการณ์ เป็นประมาณ ข้อสำคัญก็คือว่า ความเสียหายนั้น ได้เกิดขึ้น เพราะฝ่ายไหน เป็นผู้ก่อ ยิ่งหย่อนกว่ากัน เพียงไร
            วิธีเดียวกันนี้ ท่านให้ใช้ แม้ทั้งที่ ความผิด ของฝ่ายผู้ที่เสียหาย จะมีแต่เพียง ละเลยไม่เตือนลูกหนี้ ให้รู้ถึงอันตราย แห่งการเสียหาย อันเป็น อย่างร้ายแรงผิดปกติ ซึ่ง ลูกหนี้ไม่รู้ หรือ ไม่อาจจะรู้ได้ หรือ เพียงแต่ละเลย ไม่บำบัดปัดป้อง หรือ บรรเทาความเสียหายนั้นด้วย อนึ่ง บทบัญญัติแห่ง มาตรา ๒๒๐ นั้น ท่านให้นำมาใช้บังคับด้วย โดยอนุโลม
ปพพ. มาตรา 224
            หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ย ระหว่างเวลาผิดนัด ร้อยละ เจ็ดครึ่ง ต่อปี ถ้า เจ้าหนี้ อาจจะเรียกเอาดอกเบี้ย ได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่น อันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ย ต่อไปตามนั้น
            ท่านห้ามมิให้ คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย ในระหว่างผิดนัด
            การพิสูจน์ ค่าเสียหายอย่างอื่น นอกกว่านั้น ท่านอนุญาตให้พิสูจน์ได้

ค่าเสียหายที่ศาลไม่ให้ อาศัยมาตรา 222 แยกได้ 3 ประการ

1) ความเสียหายนั้นต้องเป็นผลมาจากการไม่ชำระหนี้ ดังที่บัญญัติว่า "เพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้"
2) ความเสียหายที่เกิดขึ้น "เช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น"
3) ความเสียหายที่ไม่เกิดขึ้นตามปกติ
ค่าเสียหายทางจิตใจ
เป็นค่าเสียหายประเภทหนึ่งที่ศาลไม่ให้ โดยให้เหตุผลว่าไม่มีบทบัญญัติให้เรียกได้

     ค. ค่าสินไหมทดแทนกรณีผู้เสียหายมีส่วนผิด มาตรา 223
     ง. ค่าสินไหมทดแทนกรณีเป็นหนี้เงิน มาตรา 224

ดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย มาตรา 224 วรรคสอง
การเรียกค่าเสียหายส่วนอื่น มาตรา 224 วรรคสาม

     จ. ค่าสินไหมทดแทนพิเศษกรณีวัตถุเสื่อมเสียไประหว่างผิดนัด
ปวพ. มาตรา 225
            ข้อเท็จจริง หรือ ข้อกฎหมาย ที่จะยกขึ้นอ้าง ในการยื่น อุทธรณ์นั้น คู่ความ จะต้องกล่าวไว้ โดยชัดแจ้ง ในอุทธรณ์ และ ต้องเป็น ข้อที่ได้ยกขึ้น ว่ากันมาแล้ว โดยชอบ ใน ศาลชั้นต้น ทั้งจะต้อง เป็นสาระ แก่คดี อันควรได้รับ การวินิจฉัยด้วย
            ถ้า คู่ความ ฝ่ายใด มิได้ยก ปัญหาข้อใด อันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อย ของประชาชน ขึ้นกล่าว ในศาลชั้นต้น หรือ คู่ความ ฝ่ายใด ไม่สามารถ ยกปัญหา ข้อกฎหมายใดๆ ขึ้นกล่าว ในศาลชั้นต้น เพราะพฤติการณ์ ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ หรือ เพราะเหตุ เป็นเรื่องที่ ไม่ปฏิบัติตาม บทบัญญัติ ว่าด้วย กระบวนพิจารณา ชั้นอุทธรณ์ คู่ความ ที่เกี่ยวข้อง ย่อมมีสิทธิ ที่จะยกขึ้นอ้าง ซึ่ง ปัญหา เช่นว่านั้นได้


เทียบ มาตรา ๒๔๙ ฎีกา
     ฉ. ค่าเสียหายที่กำหนดกันไว้ล่วงหน้า
ปพพ. มาตรา 379
            ถ้า ลูกหนี้ สัญญาแก่ เจ้าหนี้ว่า จะใช้ เงินจำนวนหนึ่ง เป็น เบี้ยปรับ เมื่อ ตนไม่ชำระหนี้ ก็ดี หรือ ไม่ชำระหนี้ ให้ถูกต้องสมควร ก็ดี เมื่อ ลูกหนี้ผิดนัด ก็ให้ ริบเบี้ยปรับ ถ้า การชำระหนี้ อันจะพึงทำนั้น ได้แก่ งดเว้น การอันใดอันหนึ่ง หากทำการอันนั้น ฝ่าฝืนมูลหนี้ เมื่อใด ก็ให้ ริบเบี้ยปรับ เมื่อนั้น

ตอนที่ 3.3 หนี้ที่บังคับไม่ได้
เรื่องที่ 3.3.1
หนี้ที่ขาดกำลังบังคับ
    1. หนี้ที่ขาดอายุความ คือถ้าลูกหนี้ไปชำระหนี้ก็จะเรียกคืนโดยอาศัยเป็นลาภมิควรได้ไม่ได้
ปพพ. มาตรา 408
            บุคคล ดังกล่าว ต่อไปนี้ ไม่มีสิทธิ จะได้รับคืนทรัพย์ คือ
                    (๑) บุคคล ผู้ชำระหนี้ อันมีเงื่อนเวลาบังคับ เมื่อ ก่อนถึง กำหนดเวลานั้น
                    (๒) บุคคล ผู้ชำระหนี้ ซึ่ง ขาดอายุความแล้ว
                    (๓) บุคคล ผู้ชำระหนี้ ตามหน้าที่ศีลธรรม หรือ ตามควรแก่อัธยาศัย ในสมาคม
ปพพ. มาตรา 193/10
            สิทธิเรียกร้อง
 ที่ ขาดอายุความ ลูกหนี้ มีสิทธิที่จะ ปฏิเสธการชำระหนี้ ตาม สิทธิเรียกร้องนั้นได้
ปพพ. มาตรา 193/29
            เมื่อ ไม่ได้ยกอายุความ ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาล จะอ้างเอาอายุความ มาเป็นเหตุยกฟ้อง ไม่ได้
     2. หนี้ที่ขาดหลักฐานตามกฎหมายกำหนด
ปพพ. มาตรา 653
            *
การกู้ยืมเงิน
 กว่า สองพันบาท ขึ้นไป นั้น ถ้า มิได้มี หลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อ ผู้ยืม เป็นสำคัญ จะฟ้องร้อง ให้บังคับคดี หาได้ไม่
            ในการกู้ยืมเงิน มีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่า จะนำสืบการใช้เงิน ได้ต่อเมื่อ มีหลักฐานเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อ ผู้ให้ยืม มาแสดง หรือ เอกสาร อันเป็น หลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้น ได้เวนคืนแล้ว หรือ ได้แทงเพิกถอน ลงใน เอกสาร นั้นแล้ว

*วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๔ แห่ง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๔๘

ปพพ. มาตรา ๖๕๓(เดิม)
            การกู้ยืมเงิน กว่า ห้าสิบบาท ขึ้นไป ถ้า มิได้มี หลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อ ผู้ยืม เป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้อง ให้บังคับคดี หาได้ไม่

ปพพ. มาตรา 538
            เช่า อสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้า มิได้มีหลักฐาน เป็นหนังสือ อย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิด เป็นสำคัญ ท่านว่า จะฟ้องร้อง ให้บังคับคดี หาได้ไม่ ถ้า เช่ามีกำหนด กว่าสามปี ขึ้นไป หรือ กำหนดตลอดอายุ ของผู้เช่า หรือ ผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ ทำเป็นหนังสือ และ จดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่า การเช่านั้น จะฟ้องร้อง ให้บังคับคดี ได้แต่เพียง สามปี
ปพพ. มาตรา 680
            อันว่า ค้ำประกัน นั้น คือ สัญญา ซึ่ง บุคคลภายนอก คนหนึ่ง เรียกว่า ผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อ เจ้าหนี้ คนหนึ่ง เพื่อชำระหนี้ ในเมื่อ ลูกหนี้ ไม่ชำระหนี้นั้น
            อนึ่ง สัญญาค้ำประกันนั้น ถ้า มิได้มีหลักฐาน เป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อ ผู้ค้ำประกัน เป็นสำคัญ ท่านว่า จะฟ้องร้องให้บังคับคดี หาได้ไม่
ปพพ. มาตรา 851
            อันสัญญา ประนีประนอมยอมความนั้น ถ้า มิได้มี หลักฐานเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือ ลายมือชื่อ ตัวแทน ของฝ่ายนั้น เป็นสำคัญ ท่านว่า จะฟ้องร้องให้บังคับคดี หาได้ไม่

3. หนี้ตามหน้าที่ศีลธรรม หรือตามควรแก่อัธยาศัยในสมาคม
4. หนี้การพนัน
5. หนี้ที่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี

เรื่องที่ 3.3.2 หนี้ที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย
 ปพพ. มาตรา 218
            ถ้า การชำระหนี้ กลายเป็นพ้นวิสัยจะทำได้ เพราะพฤติการณ์ อันใดอันหนึ่ง ซึ่ง ลูกหนี้ ต้องรับผิดชอบ ไซร้ ท่านว่า ลูกหนี้ จะต้อง ใช้ ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่ เจ้าหนี้ เพื่อค่าเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่ การไม่ชำระหนี้นั้น
            ในกรณีที่ การชำระหนี้ กลายเป็นพ้นวิสัย แต่เพียงบางส่วน ถ้าหากว่า ส่วนที่ยังเป็นวิสัย จะทำได้นั้น จะเป็นไร้ประโยชน์ แก่เจ้าหนี้แล้ว เจ้าหนี้ จะไม่ยอมรับชำระหนี้ ส่วนที่ยังเป็นวิสัย จะทำได้นั้นแล้ว และ เรียก ค่าสินไหมทดแทน เพื่อการไม่ชำระหนี้ เสียทั้งหมดทีเดียว ก็ได้

ปพพ. มาตรา 219
            ถ้า การชำระหนี้ กลายเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์ อันใดอันหนึ่ง ซึ่ง เกิดขึ้นภายหลัง ที่ได้ก่อหนี้ และ ซึ่ง ลูกหนี้ ไม่ต้องรับผิดชอบนั้น ไซร้ ท่านว่า ลูกหนี้ เป็นอัน หลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น
            ถ้า ภายหลัง ที่ได้ก่อหนี้ขึ้นแล้วนั้น ลูกหนี้ กลายเป็น คนไม่สามารถจะ ชำระหนี้ได้ไซร้ ท่านให้ถือเสมือนว่า เป็นพฤติการณ์ ที่ทำให้การชำระหนี้ ตกเป็นอันพ้นวิสัย ฉะนั้น
 
ดู มาตรา ๓๗๒ ด้วย

เรื่องการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย แยกพิจารณาเป็น 3 ประเด็น
     1. การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยกับเหตุสุดวิสัย คือพ้นวิสัยเป็นผล เหตุสุดวิสัยเป็นเหตุ
     2. เหตุที่ทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย มีหลายสาเหตุคือ
          (1) เหตุเพราะตัวลูกหนี้เอง
          (2) เหตุเพราะบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกหนี้
          (3) เหตุเพราะเหตุสุดวิสัยหรืออุบัติเหตุ
     3. ผลของการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย การที่ลูกหนี้จะต้องรับผิดหรือไม่จะต้องพิจารณาถึงเหตุที่ทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย ดังนี้
          (1) การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์ที่ลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ มาตรา 218 วรรคแรก
หรือบุคคลที่ลูกหนี้ใช้ในการชำระหนี้ ตามมาตรา 220 
ปพพ. มาตรา 220
            ลูกหนี้ ต้องรับผิดชอบ ในความผิดของ ตัวแทน แห่งตน กับทั้ง ของบุคคล ที่ตนใช้ ในการชำระหนี้นั้น โดยขนาดเสมอกับว่า เป็นความผิด ของตนเอง ฉะนั้น แต่บทบัญญัติ มาตรา ๓๗๓ หาใช้บังคับแก่กรณี เช่นนี้ด้วยไม่
 
        
         (2) การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย ซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ มาตรา 219 วรรคแรก, วรรคสอง











     
 





1 ความคิดเห็น:

  1. ขอคำปรึกษาค่ะ ดิฉันได้ทำการกู้เงินออนไลน์และส่งข้อมูลส่วนตัวไปสุดท้ายทางเพจให้ชำระค่าดำเนินการใดๆก่อนถึงจะโอนให้แต่ดิฉันได้บอกยกเลิกไปทางเพจจึงส่งข้อความมาว่าจะดำเนินคดีตาม ม.213 ดิฉันควรทำอย่างไรต่อคะ

    ตอบลบ